Diff Gauge (0-4 Kpa )
Differential Pressure Gauge (DIFF GAUGE) 0-4 kPa: ตัวช่วยสำคัญในการควบคุมแรงดัน
ในอุตสาหกรรมและการใช้งานด้านเทคนิคหลายแขนง การวัดและควบคุมแรงดันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในอุปกรณ์ที่ได้รับความไว้วางใจและใช้งานอย่างแพร่หลายคือ Differential Pressure Gauge (DIFF GAUGE) หรือที่มักเรียกสั้น ๆ ว่า DIFF GAUGE โดยเฉพาะรุ่นที่มีช่วงการวัด 0-4 กิโลปาสคาล (kPa) ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความละเอียดอ่อนในการวัดความแตกต่างของแรงดัน
DIFF GAUGE คืออะไรและทำงานอย่างไร?
DIFF GAUGE คือเครื่องมือที่ใช้วัด "ความแตกต่าง" ของแรงดันระหว่างสองจุด ไม่ใช่การวัดแรงดันสัมบูรณ์ที่จุดใดจุดหนึ่งเพียงอย่างเดียว ลองนึกภาพท่อส่งลมสองเส้น หรือห้องสองห้องที่ถูกกั้นด้วยผนัง DIFF GAUGE จะบอกได้ว่าแรงดันในจุดหนึ่ง สูงกว่าหรือต่ำกว่าอีกจุดหนึ่งเท่าไหร่
สำหรับการทำงาน DIFF GAUGE มักใช้หลักการที่อาศัยไดอะแฟรม (Diaphragm) หรือกระเปาะ (Bellows) ที่ยืดหยุ่นได้ โดยเมื่อแรงดันจากสองจุดเข้ามา ตัวไดอะแฟรมจะเกิดการเคลื่อนที่ตามความแตกต่างของแรงดัน และการเคลื่อนที่นี้จะถูกส่งต่อไปยังเข็มวัดเพื่อแสดงค่าบนหน้าปัด
ทำไมช่วงการวัด 0-4 kPa ถึงสำคัญ?
ช่วงการวัด 0-4 kPa ถือเป็นช่วงที่ละเอียดอ่อนและแม่นยำ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการการตรวจจับความแตกต่างของแรงดันเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกระบวนการ ตัวอย่างการใช้งานที่พบบ่อยได้แก่:
ระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning): ใช้ในการตรวจสอบแรงดันอากาศในท่อลม หรือตรวจจับการอุดตันของไส้กรองอากาศ ซึ่งหากไส้กรองอุดตัน แรงดันด้านหน้าและด้านหลังไส้กรองจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ห้องคลีนรูม (Cleanroom): ควบคุมความแตกต่างของแรงดันระหว่างห้อง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอกเข้าไปในห้องคลีนรูม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยา อิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์
ระบบกรองอุตสาหกรรม: ตรวจสอบประสิทธิภาพของไส้กรองในระบบกรองต่าง ๆ เช่น กรองน้ำ กรองอากาศ หรือกรองน้ำมัน เพื่อบ่งชี้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนไส้กรอง
การตรวจสอบการไหลของของเหลวหรือก๊าซ: ใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น Orifice Plate เพื่อคำนวณอัตราการไหล
ประโยชน์ของการใช้ DIFF GAUGE 0-4 kPa
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติของแรงดันได้อย่างทันท่วงที ทำให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ประหยัดค่าใช้จ่าย: การตรวจจับปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ไส้กรองอุดตัน ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์อื่น ๆ
ความปลอดภัย: ในบางอุตสาหกรรม การควบคุมแรงดันเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของพนักงานและกระบวนการผลิต
ควบคุมคุณภาพ: การรักษาความแตกต่างของแรงดันให้อยู่ในค่าที่กำหนด ช่วยให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
